สคร.9โคราช เตือนเกษตรกร ช่วงหน้าฝนทำนาระวังป่วยเป็นโรคฉี่หนูหากไม่ป้องกัน ตั้งแต่ต้นปี 65 พบผู้ป่วยทั้งประเทศแล้ว  356 ราย 
นายแพทย์สุเมธ องค์วรรณดี ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 นครราชสีมา  กล่าวถึง สถานการณ์โรคฉี่หนูในเขตสุขภาพที่ 9 ปี 2564 ที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับปีนี้พบว่า โรคฉี่หนูมีแนวโน้มลดลงจากปีที่แล้ว โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม  ถึง 18 มิถุนายน ปี 2564 เขตสุขภาพที่ 9 มีรายงานผู้ป่วยจำนวน 30 ราย แยกเป็น     จังหวัดนครราชสีมา มีผู้ป่วย 8 ราย จังหวัดชัยภูมิ มีผู้ป่วย 6 ราย  จังหวัดบุรีรัมย์ มีผู้ป่วย 7 ราย  จังหวัดสุรินทร์ มีผู้ป่วย 9 ราย  ส่วนสถานการณ์โรคฉี่หนู ปี 2565 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 18 มิถุนายน 2565 มีผู้ป่วยจำนวน 12 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต แยกเป็น จังหวัดนครราชสีมา ไม่มีรายงานผู้ป่วย จังหวัดชัยภูมิ มีผู้ป่วย 3 ราย  จังหวัดบุรีรัมย์ มีผู้ป่วย 3 ราย   จังหวัดสุรินทร์ มีผู้ป่วย 6 ราย  กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยสูงสุดคือกลุ่มอายุ 65 ปี ขึ้นไป รองลงมาคือ กลุ่มอายุ 55-64 ปี กลุ่มอายุ 35-44 ปี กลุ่มอายุ 45-54 ปี และกลุ่มอายุ 15-24 ปี  ถึงแม้ว่าปีนี้โรคฉี่หนูจะมีแนวโน้มลดลง แต่ยังต้องเฝ้าระวังและป้องกันตนเองอยู่เสมอ  ส่วนสถานการณ์โรคฉี่หนูในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม –22 พฤษภาคม 2565 มีผู้ป่วย 356 ราย กลุ่มอายุที่พบมากที่สุดคือ 45-54 ปี ใน 15-24 ปี รองลงมาคือ กลุ่มอายุ 55-64 ปี และ 35-44 ปี ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกร
ทั้งนี้พี่น้องประชาชนโดยเฉพาะเกษตรกร ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูฝน ทำให้มีน้ำท่วมขังตามท้องไร่ท้องนา ขอให้ระมัดระวังโรคเลปโตสไปโรสิส หรือโรคฉี่หนูเป็นพิเศษ เนื่องจากการเดินลุยน้ำ ย่ำโคลนหรือ     แช่น้ำเป็นเวลานาน มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคฉี่หนูได้ง่าย เชื้อโรคนี้จะเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล รอยถลอก และการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ  สำหรับอาการของโรคฉี่หนูจะเริ่มจากมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว จะปวดมากโดยเฉพาะที่น่องและโคนขา คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และตาแดง เป็นต้น หากมีอาการที่กล่าวมา ขอให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว อย่าซื้อยามากินเอง เพราะอาจทำให้อาการรุนแรงขึ้นได้ ที่สำคัญขอให้แจ้งประวัติการเดินลุยน้ำให้แพทย์ทราบด้วย    แพทย์จะดำเนินการรักษาโดยให้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อโรคตามอาการ และความรุนแรงของโรค วิธีปฏิบัติเพื่อป้องกันโรคฉี่หนู   ควรหลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำย่ำโคลน หรือแช่น้ำเป็นเวลานาน หากจำเป็นต้องเดินลุยน้ำ ควรสวมรองเท้าบู๊ทหรือถุงพลาสติก ที่สะอาด เพื่อป้องกันไม่ให้เท้าสัมผัสน้ำโดยตรง กรณีมีบาดแผลควรปิดด้วยพลาสเตอร์กันน้ำ หมั่นล้างมือล้างเท้าด้วยน้ำและสบู่บ่อยๆ และอาบน้ำชำระร่างกายทันทีหลังจากเสร็จจากการทำงานหรือลุยน้ำ หากมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ให้รีบไปพบแพทย์ทันที นายแพทย์สุเมธ  กล่าว